[รีวิว+สปอย] หนังสือ: จิตวิทยาสายดาร์ก
ในโลกเรามีลัทธิที่ขายของไม่น่าเชื่อในราคาสูงลิ่ว แถมยังทำให้สาวกยอมทุ่มเงินจนหมดตัว
แล้วทำไมเราขายของไม่ออกหล่ะ
รีวิว
- ตัวอย่างทริกดาร์กๆ จากนักขายตรง
- ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ได้ดาร์กขนาดนั้น รู้จักหมดแล้วจากเล่มอื่นๆ
- แต่ตัวอย่างการนำไปใช้ก็ตรงไปตรงมาดี
- เช่น ขายประกันที่เข้าใจยากๆ ให้คนยังไง หรือ ขายของแพงๆให้คนอยากซื้อ
- ซึ่งยกภาพขึ้นมาได้ชัดเจนดี
- เนื้อหาไม่ได้เยอะมาก แต่เหมือนสรุปประเด็นมาละว่า จิตวิทยาแต่ละอย่าง เอาไปใช้ตอนไหน
Shopee : https://shope.ee/7pNqlKSORO
Lazada : https://s.lazada.co.th/s.jTIDl?cc
อ่านเต็มๆ : Bit.ly/mosbook2023-018
สปอย
สิ่งที่คุณจะได้จากหนังสือเล่มนี้
- การพัฒนาทักษะการสื่อสาร
- การไม่ถูกหลอกง่ายๆ
การสื่อสารเป็นเรื่องของ จิตวิทยา มากกว่า ภาษา
คนพูดเก่ง ไม่ต้องถูกหลักไวยกรณ์ ก็ได้
- แต่พูดแล้วสื่อถึงใจอีกฝ่ายได้ หรือ มุ่งเน้นไปที่ความประทับใจ
ไม่จำเป็นต้องเถียงชนะลูกค้า
- ถ้าคุณเถียงชนะ เท่ากับ คุณได้ทำลายความประทับใจของอีกฝ่ายจนป่นปี้
- กฏการขายคือ ปล่อยให้ลูกค้าชนะ แล้วปิดการขายให้ได้ก็พอ
ทำยังไงให้คนฟังเรา
- สำคัญกว่าคำพูด คือ ภาพลักษณ์
- ทำให้อีกฝ่ายคิดว่า “ควรรับฟังคำพูดของคนคนนี้”
- รูปลักษณ์ภายนอก ที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด เช่น ชุดของนักมายากล
- เราจะแสดงความเป็นตัวเองได้ ก็ต่อเมื่อเราประสบความสำเร็จแล้ว
คนเราโดนตัดสินตั้งแต่ก่อนพูด
1. 7% จากคำพูด
2. 38% จากน้ำเสียง
3. 55% จากท่าทาง
- สิ่งสำคัญคือ ผู้พูดมีรูปลักษณ์ภายนอกแบบใด พูดด้วยท่าทางอย่างไร และใช้น้ำเสียงแบบไหน
หน้าตาไม่ดี แต่ก็ต้องดูดีไว้ก่อน
อย่าประหยัดเงินในการดูแลตัวเอง
- อย่างน้อยก็ขอให้สะอาด
- ขี้เหร่เท่ากับเสียมารยาท เฉิ่มคือโทษหนัก ในการนัดบอด
List ช่วยลดความเฉิ่ม (ของ ผช)
1. เลือกขนาดเสื้อผ้า รองเท้าให้เหมาะสม
2. ใช้ครีมบำรุงผิวบ้าง
3. ตัดผมร้านดีๆบ้าง
4. โกนหนวดด้วย ถ้าไม่ได้ตั้งใจไว้
5. ฝึกกล้ามเนื้อ
สถานที่ในการพูดก็มีผล
- ถ้าพูดเรื่องเงินๆทองๆ คุยที่ร้านหรู ดีกว่าร้านฟาสต์ฟู้ด
วิธีพูดให้คนชอบ
1. เปิดการสนทนาด้วยการเยินยอมและประจบประแจง
- แม้ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าเขา ก็ต้องประจบลูกน้อง
- แม้จะชมไปเรื่อยเปื่อยเราก็ไม่มีใครรู้สึกแย่หรอก
- การประจบคน ไม่ได้ทำให้ชีวิตพัง แต่ถ้าไม่ประจบคนอื่น เราจะไม่ได้เริ่มอะไรเลย
ชมว่า “รสนิยมดีจัง” แทน “แต่งตัวสวยจัง”
- คนเรามักจะฟังคำพูดของคนที่ตัวเองชื่นชอบ
- ถ้าเราแกล้งๆ ชมคนที่เราไม่ชอบ สุดท้ายเราจะมองเห็นข้อดีของเขาจริงๆ
- การชมว่าเขาเก่ง เล่นกับความคาดหวัง เดี๋ยวสุดท้าย เขาจะคิดว่าตัวเองเก่ง แล้วก็จะเก่งขึ้นจริงๆ แต่อย่าคาดหวังเว่อร์จนเกินจริง
- อย่าชมเยอะ เดี๋ยวเหลิง ไม่มีอยู่จริง
2. ชมแบบ มีความขัดแย้งทางอารมณ์
- คล้ายๆ โมโห ก่อนชม จะให้ชมได้ดีขึ้น
- เช่น ทำหน้านิ่งๆ …นายนี่…. หัวดีนะ
วิธีตอบกลับคำชม
- เช่น ถ้าผู้หญิงบอกว่า เท่จัง
1. “ขอบคุณนะ แต่งงานกันเลยไหม”
2. “ชมกันขนาดนี้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว 10,000 เยน แล้วกัน” พูดแบบทีเล่นทีจริง
3. “ดีใจจัง ทำเอาฉันใจเต้นแรงเลยนะเนี่ย” (หัวเราะ) ขอบคุณนะ
ประเด็นสำคัญมีอยู่ 3 ข้อ
1. ใช้คำพูดที่อีกฝ่ายน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
2. พูดอย่างมั่นใจ แม้อีกฝ่ายจะงง
3. ใช้คำพูดที่ทำให้อีกฝ้ายรู้สึกถึงความรักได้ง่าย (เช่น ใจเต้น หรือ แต่งงาน)
เรื่องที่คน 99% สนใจ
- ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง
- ชวนคุยเกี่ยวกับ งานอดิเรก เสื้อผ้า งาน
- เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ว่าเราสนใจเรื่องของเขา ก็จะทำให้อีกฝ้ายรู้สึกสนิทสนมกับเรามากขึ้น
- อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องของคนอื่น
การแสดงความรู้สึกร่วมพร้อมกับยออีกฝ่าย
- คุณตีกอล์ฟด้วยใช่ไหม ผมก็เคยหัดอยู่แต่ไม่ค่อยไปไกล คุณฝึกยังไงถึงเก่งขึ้นได้ครับ
- คุณมีใบอนุญาตดำน้ำด้วยสินะ ! ผมชอบดำน้ำมากเลยแต่ยังไม่มีใบอนุญาตนะ สอบยากมาก
กฏคือ ห้ามทำตัวเหนือกว่าอีกฝ่าย
- การมีงานอดิเรก ร่วมกันเป็นสิ่งที่ดี และทำให้อีกฝ่ายโอ้อวดได้อย่างอารมณ์ดี
2 วิธี ตีสนิทกับคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก
1. ชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเขา
- เช่น เสื้อซื้อที่ไหนหรอ
- ให้พูดถึงยี่ห้อแพงๆไว้ก่อน แม้จะรู้ว่าเป็น ยูนิโคลก็ตาม
2. ชวนคุยเรื่องที่ทุกคนสามารถคุยร่วมกันได้
“พูดง่ายๆก็คือ เหมือน xx นั่นแหล่ะ”
- พอคุณบอกว่า “พูดง่ายๆก็คือ” อีกฝ่ายจะคิดโดยไม่รู้ตัวว่า “หลังจากนี้เขาจะพูดเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะงั้นเราต้องเข้าใจสิ”
- แล้วพอเสริมด้วย “พอจะเข้าใจไหม”
- ทุกคนย่อมไม่อยากถูกมองว่าโง่ เลยมักจะตอบว่า พอจะเข้าใจแล้ว แม้จะไม่เข้าใจ
- เช่นการขายประกันที่ยากๆ คนฟังไม่เข้าใจ จะพูดว่า
“สำหรับแผนประกันนี้ พูดง่ายๆก็คือ เหมือน ‘เงินฝากดอกเบี้ยสูง’ นั่นแหล่ะครับ พอจะเข้าใจไหม”
ใช้การเปรียบเทียบให้คนจำได้ง่าย
1. ถ้าเปรียบกับ xx ก็คือ
- หัวหน้าน่ะ ถ้าเปรียบกับ “แฮรี่ พอตเตอร์” ก็คือ โวลเดอมอร์นั่นแหล่ะ
2. เหมือนกับ xx
- งานขายก็เหมือนกับ การทำอาหารนั่นแหล่ะ
ใช้ คุณ ที่หมายถึงคนเดียว เสมอ ไม่ใช่ พวกคุณ
- ถ้าให้ดีสุด เวลาคุย ให้เรียกชื่อเขาไปเลย
- มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สนใจเฉพาะเรื่องตัวเอง
วิธีที่ให้คนอื่นตั้งใจฟังเรา
- ความจริงแล้วยิ่งทำให้ผู้ฟังใช้สมองมากเท่าไหร่ ผู้ฟังยิ่งมีสมาธิจดจ่อ มากขึ้นเท่านั้น
- ลองนึกถึงการตั้งคำถาม “อะไรเอ่ย” กับเด็กประถมดู
คำถามเช่น “คุณคิดยังไง” ถ้าคนฟังไม่ได้ฟัง เขาจะคิดว่า แย่แล้ว เมื่อกี้พูดเรื่องอะไรนะ แล้วกลับมาสนใจเราอีกครั้ง
แค่เว้นจังหวะการพูด ผู้ฟังก็มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
- ให้หยุดตอน
1. ตอนที่จะพูดเรื่องสำคัญ
2. ตอนที่ผู้ฟังสมาธิหลุด
- ถ้าผู้ฟังมองไปทางอื่น ให้เงียบ พอเขากลับมามองคุณก็ค่อยพูดต่อ
One sentence, One message
- 1 ประโยค 1 ข้อความ
- แค่นี้คุณก็จะเป็นคนที่พูดเข้าใจง่ายแล้ว
วิธีเป็นคนน่าสนใจ
- ถ้าไปเดทแรก แล้วอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า “อยากคุยได้อีก” หรือ “อยากเจอกันอีก”
- คุณแค่ ไม่ปล่อยของจนหมดก็พอ
- เดทแรก ควรเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่มีเวลาคุยกันมากนัก เช่นดูหนัง
วิธีการฟัง
- เวลาฟังคนอื่นพูด ต้องฟังโดยคิดว่ากำลังฟังเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก
- ถ้าคิดว่า เรื่องนั้นสนุก เรื่องนั้นก็จะสนุกขึ้นมาจริงๆ
- สิ่งเดียวที่ควรทำตอนนั้นคือ ตั้งใจฟัง อย่าเพิ่งคิดตัดสินคนอื่น
วิธีทำให้คนอื่นรู้ว่าเราฟัง
- ใช้การ พยักหน้า ตอบรับ ขยับคิ้ว
- พยักหน้า แรงกว่าปกตินิดนึง ถี่ ระดับ อืม… อืม…. อย่าถี่ไป
- ตอบรับบ้าง “จริงด้วยยยย อย่างนี้นี่เอง โหห สุดยอดด”
- แทนที่จะพูด ครับ ครับ ครับ อย่างเดียว
วิธีฟังคู่สนทนาพูด “เรื่องที่เรารู้ดีกว่า”
ห้ามพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้น”
- รอให้อีกฝ่ายพูดจนจบ แล้วพูดว่า “นั่นสินะครับ” และ แสดงความคิดเห็นของตัวเอง
- ให้เขารู้สึกว่า ไม่ใช่เราไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ “คุณมีความเห็นแบบนี้สินะ” หรือ “ฉันเห็นด้วยกับคุณบางส่วน”
- อย่าพยายามเอาชนะแล้วอีกฝ่ายเสียหน้า
การใช้สีหน้า และท่าทาง
- คุณต้องแสดงสีหน้าทั้งตอนพูดและตอนฟัง หรือแม้แต่ตอนคุยโทรศัพท์
- นั่งให้หลังตรง แต่อย่าเกร็ง
- ความไม่เป็นธรรมชาติ และ ความเกร็ง ถือเป็นศตรูตัวฉกาจของการสื่อสาร
- อย่ากอด อก เพราะคนจะรู้สึกว่าคุณปิดกั้น
การพูดเก่งขึ้น คุณจำเป็นต้องผ่อนคลาย
- ทั้งสติ และ ร่างกาย
ถ้าไม่มีใครดูออกว่าคุณตื่นเต้น ก็คือ คุณไม่ตื่นเต้น
- ยืดตัว ทำให้ตัวดูใหญ่ขึ้น จะผ่อนคลายขึ้น
- หายใจลึกๆ เคลื่อนไหวช้าๆ
ปรากฏการณ์ 1 : Pacing เทคนิคที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกดี
- คล้ายๆกับ ปรากฏการณ์กระจกเงา
- ใช้น้ำเสียงและจังหวะที่ใกล้เคียงกับอีกฝ่าย
- ถ้าอยากเป็นผู้นำ ก็ให้พูด ดังกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย
ปรากฏการณ์ 2 : Anchoring
- อย่าขายของ 10,000 เยน ให้ขายว่า ลดจาก 30,000 เยน เหลือ 10,000 เยน
- หรือ ขายเครื่องสำอาง 1 ล้านเยน ที่คนไม่สนใจส่วนลด
- “ถึงคุณจะซื้อรถราคา 1 ล้านเยน ก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขมากขึ้นใช่ไหมหล่ะ เพราะใครๆก็มี”
- “แต่ถ้าผิวของคุณอ่อนเยาว์ลง 10 ปีหล่ะ จะเป็นอย่างไร” “ลองนึกภาพตามว่า ถ้าคุณอ่อนเยาว์ลง 10 ปี คุณจะแต่งตัวแบบนี้หรือเปล่า”
- “ถ้าคุณขับรถเดิมต่อไปอีกสักปีสองปี ก็จะประหยัดเงินที่ทำให้คุณอ่อนเยาว์ลงได้ 10 ปีเลยหล่ะครับ”
เปลี่ยนจาก ซื้อหรือไม่ซื้อ เป็น “อ่อนเยาว์หรือรถคันใหม่”
ปรากฏการณ์ที่ 3 : Diderot effect
- ถ้าซื้อของแพงมากๆแล้ว จะซื้อของเพิ่มได้ง่าย
- “เฉพาะลูกค้าที่ซื้อเครื่องสำอางชุดนี้ ผมมีอาหารเสริมในราคาพิเศษมานำเสนอ ช่วยให้คุณอ่อนเยาว์จากภายในด้วย”
ปรากฏการณ์ที่ 4 : Scarcity effect
- ของยิ่งหายาก ยิ่งมีค่า
- “ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ อาจจะหา ไม่ได้อีกแล้ว”
- “เฉพาะคนที่ทำสัญญาวันนี้ จะได้รับข้อเสนอพิเศษครับ”
- “สินค้าเหลืออีกไม่กี่ชิ้นจะหมดแล้วนะครับ”
ปรากฏการณ์ที่ 5 : Reframing
- “ด้วยเงิน 300,000 เยน ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป”
- “ถ้าลงทุนด้วยเงินเดือนแค่เดือนเดียว ชีวิตในอีก 60 ปีข้างหน้าก็จะเปลี่ยนไป”
- มนุษย์อ่อนไหวกับเรื่อง ขาดทุน มากกว่า กำไร
- แทนที่จะพูดว่า “นี่ทำโอกาสทำกำไร 1 ล้าน” ให้พูดว่า “การปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป จะทำให้เสี่ยงขาดทุนล้านนึง”
- “การดื่มน้ำทำให้ชุ่มคอ” vs “หากไม่ดื่มน้ำ 3 วันมนุษย์จะตาย”
ปรากฏการณ์ที่ต้องระวัง 1 : Boomerang
- หากทำมากเกินไปก็จะส่งผลตรงกันข้าม
“ช่วยซื้อหน่อยครับ” ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่อยากซื้อ
- อย่า ยัดเยียดมากเกินไป หรือ จงใจมากเกินไป (ไม่เป็นธรรมชาติ)
ปรากฏการณ์ที่ต้องระวัง 2 : Undermining
- เมื่อเราทำอะไรสักอย่างด้วยความสนุก ถ้ามีคนชมหรือให้รางวัล เราจะเปลี่ยนไปทำสิ่งนั้นเพื่อรางวัล
- ซึ่งถ้าไม่ได้รางวัล เราก็จะไม่อยากทำต่อ
- การให้แรงจูงใจภายนอกกับสิ่งที่คนคนหนึ่งทำเพราะแรงจูงใจภายใน จะส่งผลให้แรงจูงใจของคนคนนั้นลดลง
ปรากฏการณ์ที่ต้องระวัง 3 : Norm of reciprocity
- เมื่อให้อะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะตอบแทนกลับมา
- อย่าเลี้ยงข้าวคนตอนชวนมาทำธุรกิจ (เว้นแต่ว่า ทั้งคู่รวยมากๆแล้วค่าข้าวมันไม่สำคัญ)
- เพราะมันทำให้เขา ตำแหน่งต่ำกว่า เหมือนมาเพราะเราเลี้ยงข้าว ไม่ใช่เพราะมาทำธุรกิจด้วยกัน